Web Blog การเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ประกอบการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ (สาระเพิ่ม) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส 22102 และ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส 23102 ครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา ในการฝึกทักษะเรียนรู้พื้นฐาน การจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล ทักษะการสืบค้น ฯลฯ เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problerm Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills ทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowlead Maneagement) โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม ประกอบการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ คุณครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา(Word Class Standard)

โพสต์ข่าว

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สัปดาห์20

ประโยชน์ของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์

        แม้ว่างานวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์จะเป็นเพียงข้อเท็จจริงส่วนหนึ่ง ของอดีตก็ตาม ย่อมจะส่งผลมาถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน และอาจมีอิทธิพลไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้ ดังนั้นการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์จึงมีประโยชน์สำคัญดังนี้
        8.1 ทำให้เราทราบสภาพของปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต และเมื่อพบปัญหาที่จะเกิดขึ้นในสภาพเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีก
        8.2 ผล การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์สามารถนำมาใช้แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ในปัจจุบันได้ ทั้งนี้เพราะการวิจัยนี้จะพบว่ามีปัจจัยใดบ้างที่เป็นจุดบกพร่อง ซึ่งสามารถนำมาแก้ไขข้อบกพร่องของงานในปัจจุบันได้
        8.3 เนื่อง จากความเป็นมาในอดีตเป็นรากฐานของความเป็นอยู่และความเป็นไปในปัจจุบันและ ส่งผลต่อไปในอนาคตด้วย ดังนั้นการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์จึงใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขสิ่ง ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันได้
        8.4 เพื่อใช้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในปัจจุบัน และเป็นพื้นฐานแก่ผู้ที่จะทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป

สัปดาห์ที่19

วิธีระวัติร์

ข้อมูลของฉันและครอบครัว

     1.  วิธีการหาความรู้เกี่ยวกับข้อมูลของตนเองและครอบครัว          การเรียนประวัติศาสตร์  คือ  การเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนในอดีต  เช่น  ประวัติของครอบครัวเรา  ความเป็นมาของชุมชนที่เราอยู่อาศัย  ประเทศของเรา  เป็นต้น
          ดังนั้น  การเรียนประวัติศาสตร์  จึงเป็นการเรียนรู้เรื่องราวของตนเองของชุมชน  ของประเทศ  ของชาติ  สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับตัวเรา  ซึ่งเราควรให้ความสนใจ
          การเรียนรู้ประวัติศาสตร์  ต้องอาศัยวิธีการทางประวัติศาสตร์  ได้แก่  การสืบค้นข้อมูล  การแสวงหาข้อมูล  การรวบรวมและจัดระบบข้อมูล
          ลักษณะของข้อมูล  มีหลายลักษณะ  ดังนี้
          1.  ข้อเท็จจริง                    2.  ข้อความ
          3.  ข่าวสาร                        4.  เอกสาร
          5.  สถานที่                        6.  สัญลักษณ์
                              ฯลฯ
          การค้นหาข้อมูล  เราควรเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อน  เพราะเป็นข้อมูลที่เราสามารถค้นหาได้ง่าย  เช่น  ข้อมูลของตัวเรา  ข้อมูลของคนในครอบครัวของเรา  ซึ่งเราต้องใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ช่วยในการสืบค้นข้อมูล  ดังแผนภูมิด้านขวามือ
          วิธีการทางประวัติศาสตร์  คือ
          1.  แหล่งข้อมูล
          2.  วิธีแสวงหาข้อมูล
          3.  การรวบรวมข้อมูล
          4.  การจัดระบบข้อมูล
          ก่อนที่จะเริ่มหาข้อมูล  เราต้องรู้แหล่งข้อมูลที่เราจะไปหาเสียก่อน  เพราะถ้าเราไปหาข้อมูลไม่ถูกแหล่ง  หรือไม่ถูกที่  ก็อาจจะไม่ได้ข้อมูลที่เราต้องการทราบ
          แหล่งข้อมูล  มีหลายลักษณะดังนี้
          1.  แหล่งข้อมูลที่เป็นบุคคล  เช่น  พ่อ  แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ครู  อาจารย์  เจ้าหน้าที่
          2.  แหล่งข้อมูลที่เป็นสถานที่  เช่น  บ้าน  โรงเรียน  วัด  พิพิธภัณฑ์
          3.  แหล่งข้อมูลที่เป็นเอกสารทางราชการ  เช่น  ทะเบียนบ้าน  สูติบัตร  บัตรประชาชน
          4.  แหล่งข้อมูลที่เป็นบันทึกของบุคคล  เช่น  บันทีกประจำวัน  บันทึกการเดินทาง
          เมื่อเราทราบแหล่งข้อมูลแล้ว  ก็สามารถแสวงหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วจึงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาจัดให้เป็นระบบ  ก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ได้
                         แหล่งข้อมูล                                   วิธีแสวงหาข้อมูล
                            บุคคล                    พูดคุย  ซักถาม  สัมภาษณ์  สังเกต
                            สถานที่                  สำรวจ  สังเกต  ซักถามจากผู้ที่อยู่ในสถานที่นั้น
                            เอกสารและบันทึก      อ่าน  และสังเกต
          การสืบค้นข้อมูลของตนเองและครอบครัว  จะทำให้เราได้ทราบเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตัวเรา  และสมาชิกในครอบครัว  เช่น  พ่อ  แม่  พี่  น้อง  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับตน  รวมทั้งเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ในครอบครัว  และก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในครอบครัวของตนเองด้วย

     2.  ประวัติความเป็นมาของครอบครัว
          ประวัติความเป็นมาของแต่ละครอบครัว  เริ่มต้นจากปู่  ย่า  ตา  ยายของเรา  ที่ได้ตั้งที่อยู่อาศัยเพื่อทำมาหากิน  และได้ต่อสู้ฝ่าฟันกับความยากลำบาก  จนถึงรุ่นพ่อแม่ของเราและตัวเรา  ได้มีที่อยู่อาศัยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
          ในช่วงเวลาจากอดีตถึงปัจจุบัน  แต่ละครอบครัวจะมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ควรจดจำ  ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัว
          ในแต่ละครอบครัว  จะมีประวัติความเป็นมาที่แตกต่างกันไป  การศึกษาประวัติความเป้นมาของครอบครัว  ทำให้เราทราบว่า  ปู่ย่าตายายของเรามีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากเรา  รวมทั้งสภาพบ้านเรือนและสภาพแวดล้อมในอีดตกับปัจจุบันก็แตกต่างกันด้วย

สัปดาห์ที่18

สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง

            การปรับปรุงทางด้านสงคมในสมัยรัชกาลที่ 4 (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นช่วงเวลาที่ชาวไทย เริ่มมีการปรับตัวทางด้านสังคมและวัฒนธรรมให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีทางตะวันตก ภายหลังจากที่ไทยทาสนธิสัญญาทางการค้ากับชาวตะวันตก

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สาคัญในสมัยรัชกาลที่ 4

อนุญาตให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์แรงงานเข้ารับราชการ ให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้ ห้ามพ่อแม่ขายบุตรเป็นทาส ห้ามสามีขายภรรยาเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจ ให้นางแอนนา เลียวโนเวนส์ ชาวอังกฤษ ไปสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรสและธิดา โปรดให้สตรีคณะมิชชันนารีผู้สอนศาสนาคริสต์เข้าไปสอนภาษาอังกฤษให้สตรีในราชสานัก

การปรับปรุงประเพณีและวัฒนธรรมในสมัยรัชกาลที่ 4
1. ประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า
2. โปรดให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้น เพื่อเป็นของที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน เป็นบาเหน็จรางวัลแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการไทย และชาวต่างประเทศ
3. ทรงเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีถือน้าพิพัฒน์สัตยา โดยพระองค์ทรงร่วมเสวยด้วย
4. ฟื้นฟูประเพณีการตีกลองร้องฎีกา เพื่อให้ทราบถึงทุกข์สุขของราษฎรโดยจะเสด็จ
ออกมารับฎีกาด้วยพระองค์เอง ทุกวันโกณ เดือนละ 4 ครั้ง
5. ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกนับถือศาสนา
6. ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกประกอบอาชีพ
7. กาหนดให้ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม เป็นวัดประจารัชกาล ซึ่งรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างขึ้นในเขตกรุงเทพมหานคร 
8. รัชกาลที่ 4 ทรงก่อตั้งธรรมยุตินิกาย เมื่อครั้งยังผนวชที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร ในสมัยรัชกาลที่ 3

การปรับปรุงด้านสาธารณสุขสมัยรัชกาลที่ 4

            ด้านการสุขาภิบาล สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการสุขาภิบาลตามคาแนะนาของบาทหลวงมิชชันนารีบ้างแล้ว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด

            การปรับปรุงสังคมในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) การ
ปฏิรูปทางสังคมที่สาคัญที่สุดคือ การเลิกทาส

            ทาส เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะทางสังคมต่าที่สุด สมัยรัตนโกสินทร์มีทาสอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากร

ขั้นตอนการเลิกทาสของรัชกาลที่ 5

            1. ทรงตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท พุทธศักราช 2417 ความว่า
“ลูกทาสที่เกิดตั้งแต่ปีมะโรง พ.ศ.2411 อันเป็นปีที่รัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นต้นมา ให้มีค่าตัวใหม่และ จะมีค่าตัวเมื่ออายุ 8 ปี ชายจะมีค่าตัวสูงสุด 32 บาท หญิงจะมีค่าตัวสูงสุด 28 บาท หลังจากนั้นแล้วค่าตัวจะลดลงทุกทีจนหมดค่าตัวเมื่ออายุ 21 ปี”
            2. ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซื้อลูกทาสที่อยู่กับนายเงินเพียงคนเดียวมา 25 ปี ให้เป็นอิสระ ไถ่ทาสได้ทั้งหมด 44 คน
            3. ในพ.ศ.2443 ทรงออกพระราชบัญญัติทาสมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ.119 ขึ้น มีจุดประสงค์เพื่อให้ทาสในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ลาปาง ลาพูน แพร่ น่าน มีโอกาสไถ่ถอนเป็นอิสระได้ง่ายขึ้น และเป็นอิสระได้เมื่อมีอายุ 60 ปี
            4. ใน พ.ศ.2447 ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสมณฑลบูรพา ร.ศ.123 ขึ้น ให้นายเงินลดค่าตัวทาสลงเดือนละ 4 บาท ทุกเดือนไปจนกว่าจะหมดค่าตัว ส่วนบรรดาลูกทาสให้นับเป็นไททั้งหมด
            5. ในพ.ศ.2448 ทรงตราพระราชบัญญัติทาสรัตนโกสินทร์ศก ร.ศ.124 กาหนดให้
                 5.1 ให้ลูกทาสทุกระดับอายุเป็นไทโดยทันทีทั้งหมด
                5.2 ให้ทาสชนิดอื่นๆ ได้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท ทุกเดือนไปจนหมดค่าตัว

การเลิกระบบไพร่

            การเลิกระบบไพร่ เป็นไปอย่างเป็นขั้นตอน คือ ให้ไพร่หลวงเสียเงินแทนการเข้าเวรรับราชการ
ออกพระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหาร แทนโดย กาหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จะต้องเข้ารับราชการทหาร (ต่อมาเปลี่ยนเป็น 20 ปี)

การปรับปรุงประเพณีวัฒนธรรม สมัยรัชกาลที่ 5

            1. การเปลี่ยนแปลงประเพณีการสืบสันตติวงศ์  รัชกาลที่ 5 โปรดให้ยกเลิกตาแหน่ง วังหน้า (พระมหาอุปราช) และทรงสถาปนาตาแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร แทน
                - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารองค์แรก คือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศแต่ทรงสิ้นพระชนม์ก่อน จึงมีการสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมารแทน
            2. การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการแต่งกาย ทรงผม
                - รัชกาลที่ 5 โปรดให้ชายไทยในราชสานัก เลิกไว้ผมทรงมหาดไทย เปลี่ยนเป็นไว้ผมตัดยาวทั้งศีรษะอย่างฝรั่ง ผู้หญิงโปรดให้เลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมยาว ทรงดอกกระทุ่ม
                - รัชกาลที่ 5 โปรดให้ชายไทยในราชสานักนุ่งผ้าม่วงสีต่างๆสวมเสื้อราชปะแตน สวมหมวกอย่างยุโรป
                - รัชกาลที่ 5 โปรดให้ข้าราชการทุกกรมกองแต่งเครื่องแบบ นุ่งกางเกงอย่างทหารในยุโรปแทนโจงกระเบน
                - การแต่งกายสตรีเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากรัชกาลที่ 5 กลับจากประพาสยุโรป ครั้งที่2 โดยสตรีไทยนิยมสวมเสื้อของอังกฤษ คือ เสื้อคอตั้งแขนยาว ต้นแขนพองคล้ายขาหมูแฮม
 
            3. การเปลี่ยนแปลงประเพณีการเข้าเฝ้า
            รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ยกเลิกประเพณีการหมอบคลานในเวลาเข้าเฝ้า แต่ให้ใช้วิธีถวายคานับแทนและให้นั่งเก้าอี้ ไม่ต้องนั่งกับพื้น
            4. การใช้ศักราชและวันทางสุริยคติในทางราชการ
            รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ใช้ ร.ศ. (รัตนโกสินทร์ศก) แทน จ.ศ. (จุลศักราช) ซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยเริ่มใช้ ร.ศ.ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2431 เป็นต้นไป เริ่ม ร.ศ.1 ตั้งแต่ปี 2325 ซึ่งเป็นปีที่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
            5. รัชกาลที่ 5 โปรดให้ยกเลิกการโกนผมเมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคต
            6. รัชกาลที่ 5 โปรดให้ยกเลิกการไต่สวนแบบจารีตนครบาล
            7. รัชกาลที่ 5 ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองสงฆ์ร.ศ.121มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นองค์ประมุข
            8. รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มหานิกาย) และมกุฎราชวิทยาลัย
            9. วัดประจารัชกาลที่ 5 คือ วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม
            10. รัชกาลที่5 อนุญาตให้ชาวต่างประเทศนั่งร่วมโต๊ะเสวยได้ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา
            11. รัชกาลที่ 5 ทรงเริ่มการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนตามชนบท เรียกว่า “การเสด็จประพาสต้น”
            12. รัชกาลที่ 5 ทรงอนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้าเวลาเสด็จพระราชดาเนินผ่านและไม่ตอง
ปิดประตูหน้าต่าง

การปรับปรุงด้านสาธารณสุขในสมัยรัชกาลที่ 5

            1. การสุขาภิบาล สมัยรัชกาลที่ 5
                1.1 ปี พ.ศ.2413 มีประกาศห้ามราษฎรทิ้งของโสโครกลงในคลอง
                1.2 ปี พ.ศ.2440 ตั้งกรมสุขาภิบาล ในกระทรวงนครบาล
                1.3 ปี พ.ศ.2448 ขยายกิจการสุขาภิบาลไปยังหัวเมือง จัดการควบคุมโรคติดต่อต่างๆ
ได้แก่ โรคอหิวาตกโรค โรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) โรคหัด กามโรค
            2. การตั้งโรงพยาบาล
                2.1 โรงพยาบาลแห่งแรกตั้งขึ้นที่ริมคลองบางกอกน้อย เรียกว่า โรงพยาบาลวังหลัง
ต่อมารัชกาลที่ 5 พระราชทานนามใหม่ว่า “โรงศิริราชพยาบาล” เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ เจ้าฟ้า ศิริราชกกุธภัณฑ์ เป็นพระราชโอรส ซึ่งประชวรสิ้นพระชนม์เนื่องจาก ขาดแคลนด้านการพยาบาล
                2.2 ปี พ.ศ.2431 ตั้งกรมพยาบาล
                2.3 ปี พ.ศ.2436 ตั้งสภาอุณาโลมแดง ปัจจุบันคือ สภากาชาดไทย
                2.4 ปี พ.ศ.2445 ตั้งโอสถศาลา (โรงงานเภสัชกร)
            3. การตั้งโรงเรียนแพทย์
            รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯให้เปิดโรงเรียนแพทย์ขึ้นในโรงพยาบาลศิริราช ในปี พ.ศ.2432 มีชื่อ เรียกว่า โรงเรียนแพทยากร ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ราชแพทยาลัย ปัจจุบันคือ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาลของมหาวิทยาลัยมหิดล

การปรับปรุงด้านการศึกษาสมัยรัชกาลที่ 5

            1. โรงเรียนสตรีแห่งแรก มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 คือ โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งโดยแหม่มเฮาส์ ปี พ.ศ.2417 ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลศิริราช
            2. มีการตั้งโรงเรียนในต่างจังหวัดที่สาคัญได้แก่ โรงเรียนปรินซ์รอแยลวิทยาลัยดาราวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่โรงเรียนผดุงราษฎร์ จังหวัดพิษณุโลก โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ จังหวัดเพชรบุรี
            3. รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการศึกษา เพราะต้องการสร้างคนที่มีความรู้เพื่อเข้ารับราชการในกระทรวงต่างๆ ที่ทรงปรับปรุงใหม่ โดยตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรก คือ โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2414 โดยพระราชทานเสื้อผ้า อาหารกลางวันให้แก่นักเรียน ครูก็ได้รับค่าจ้าง ต่อมาได้พระราชทานพระตาหนักเดิม ที่สวนกุหลาบ ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของพระบรมมหาราชวังให้เป็นที่เรียนพระราชทานนามว่า โรงเรียนพระตาหนักสวนกุหลาบ โดยมีพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่
            4. รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการศึกษาเพราะ การเลกทาส ทาให้ทาสเป็นไทเพื่อเป็นการวางรากฐานไม่ให้คนพวกนี้กลับไปเป็นทาสอีก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อ การพัฒนาประเทศ จึงโปรดให้ตั้งโรงเรียนสาหรับราษฎรขึ้นแห่งแรก คือ “โรงเรียนวัดมหรรณพาราม” ในปี พ.ศ.2427 เพื่อให้ทุกคนได้รับการศึกษาและ นาไปประกอบอาชีพได้
            5. รัชกาลที่ 5 โปรดฯให้ใช้แบบเรียน 6 เล่ม ที่พระยาศรีสุนทรโวหาร แต่งขึ้นใหม่
            6. ปี พ.ศ.2430 จัดตั้งกรมศึกษาธิการ รับผิดชอบด้านการศึกษาโดยเฉพาะและเปลี่ยนมาใช้แบบเรียนเร็วของกรมหมื่นดารงราชานุภาพ
            7. มีการประกาศใช้โครงการศึกษาชาติ
            8. รัชกาลที่ 5 โปรดฯให้มีการสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงขึ้น เรียกว่า “คิงสกอลาชิป” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2440 เป็นประจาทุกๆปี ปีละ 2 คน ส่งไปศึกษายังทวีปยุโรป หรืออเมริก

การปรับปรุงประเพณีวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 6 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

            1. การใช้พุทธศักราช (พ.ศ.)รัชกาลที่ 6 โปรดฯให้ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) แทนการใช้ ร.ศ. เพราะเป็นศักราชทางศาสนาเหมือนกับประเทศตะวันตกใช้คริสต์ศักราช (ค.ศ.)
            2. วันขึ้นปีใหม่ คือวันที่ 1 เมษายนของทุกปี
            3. ประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล ในปี พ.ศ.2455 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น เพื่อส่งเสริมความรักใคร่ผูกพันในระหว่างผู้ร่วมนามสกุล และรักษาเกียรติยศ โดยประพฤติไปในทางที่ชอบ
            4. การประดิษฐ์ธงชาติใหม รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนธงชาติขึ้นใหม่ใช้สามสีแบบเดียวกับนานาประเทศคือ สีน้าเงิน สีขาว สีแดง พระราชทางนามธงชาติแบบสามสี ห้าริ้ว ว่า “ธงไตรรงค์”
            5. การเปลี่ยนแปลงการนับเวลา แต่เดิมไทยนับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” กลางคืนเป็น “ทุ่ม” 

สัปดาห์ที่17

  • องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ECO)


ข้อมูลทั่วไป 

        ECO เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลาง  ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 แทนที่องค์การเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาในภูมิภาค (Organization of Regional Cooperation for Development: RCD) ซึ่งดำเนินการระหว่างปี 1964 ถึง 1979    สมาชิกก่อตั้ง ECO คือ อิหร่าน ปากีสถาน และตุรกี  ในปี 1992 ECO ได้เปิดรับสมาชิกเพิ่มอีก 7 ประเทศ ทำให้สมาชิกปัจจุบันมี 10 ประเทศประกอบด้วย อัฟกานิสถาน อาเซอร์ไบจัน อิหร่าน คาซัคสถาน คีร์กิซ ปากีสถาน ตุรกี ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน  โดยกำหนดให้วันรับสมาชิกใหม่เป็นวัน ECO (ECO Day) 

       ECO ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ  การค้า การพัฒนา ฯลฯ
ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก   รวมไปถึงกระชับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์  ความชำนาญเฉพาะด้านที่เกิดเป็นประโยชน์ร่วมกันของ ECO 
โครงสร้างองค์การ 
  1. ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี (The Council of Ministers: COM) เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของ ECO ประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศหรือผู้แทนในระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิก มีหน้าที่พิจารณา กำหนด และวางนโยบายของ ECO รวมถึงจัดการประชุมสุดยอด (Summit Meeting) ของ ECO
  2. ที่ประชุมคณะผู้แทนถาวร (The Council of Permanent Representatives: CPR) เป็นที่ประชุมของคณะผู้แทนหรือเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกที่ประจำอยู่ ณ ประเทศอิหร่าน และ ECO รวมถึง Director General for ECO Affairs ของกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน  ปฏิบัติหน้าที่เชิงนโยบายในนามของที่ประชุมรัฐมนตรี (COM)  พิจารณางบประมาณ  ทบทวน ติดตามและให้คำปรึกษาแก่ RPC รวมไปถึงติดตามรายงานจากสำนักงานเลขาธิการ ECO
  3. The Regional Planning Council (RPC) ประกอบด้วย Head of the Planning Organization ของประเทศสมาชิก หรือผู้แทนของรัฐบาลจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติหน้าที่ตามยุธศาสตร์  นโยบายและแผน ที่เกี่ยวข้องตามความร่วมมือระดับภูมิภาคตามสนธิสัญญา Izmir รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ด้านนโยบายที่ได้รับจากที่ประชุมระดับรัฐมนตรี  โดยจะมีการประชุมปีละหนึ่งครั้งก่อนการประชุมในระดับรัฐมนตรี
  4. สำนักงานเลขาธิการ (The General Secretariat)  ก่อตั้งขึ้นตาม Article IX ของสนธิสัญญา Izmir ตั้งอยู่ที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ทำหน้าที่ด้านงานบริหารของ ECO  โดยมี Dr. Shamil  Aleskerov จากประเทศอาเซอร์ไบจัน เป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน (ดำรงตำแหน่ง สิงหาคม 2012-สิงหาคม 2015) นอกจากนี้ยังมีผู้ช่วยเลขาธิการ และคณะบุคคล (Directorate) อีก 6 คน  ทำหน้าที่งานบริหารองค์กรของ ECO
  5. องค์กรชำนัญพิเศษและสถาบันระดับภูมิภาค (Specialized Agencies and Regional Institutions) เป็นองค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การกำกับของสำนักงานเลขาธิการ ECO  ปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 8 องค์กร ได้แก่ 
องค์กรชำนัญพิเศษ 
  1. ECO Cultural Institute
  2. ECO Science Foundation
  3. ECO Education Institute
สถาบันระดับภูมิภาค 
  1. ECO Chamber of Commerce and Industry
  2. ECO Reinsurance Company
  3. ECO College of Insurance
  4. ECO Trade & Development Bank
  5. ECO Consultancy & Engineering Company

การดำเนินงานสำคัญและพัฒนาการล่าสุด 
การจัดประชุม 

         การประชุมระหว่างกลุ่มรัฐสมาชิก ECO มีทั้ง (1) การประชุมระหว่างคณะกรรมการและองค์กรภายในต่างๆ (2) การประชุมในระดับรัฐมนตรี (Ministerial Meeting) และ (3) การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำประเทศ (Summit)   โดยการประชุมระหว่างคณะกรรมการและองค์กรภายในแบ่งเป็นการประชุมตามประเด็นต่าง ๆ คือ การค้าและการลงทุน การสื่อสาร และโทรคมนาคม การเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว พลังงาน แร่ธาตุ และสิ่งแวดล้อม การจัดการยาเสพย์ติด และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 

           การประชุมทั้งในระดับคณะกรรมการและระดับรัฐมนตรีจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ส่วนการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำประเทศ (Summit) จะจัดขึ้นทุก  2 – 3 ปี  ทั้งนี้ การจัดประชุมครั้งล่าสุด (12th ECO Summit Meeting) จัดขึ้นที่กรุงบากู  ประเทศอาเซอร์ไบจัน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2012 โดยมี H.E. Dr. İIham Aliyev ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจันเป็นประธาน  ในโอกาสพิเศษ ECO ครบรอบ 20 ปี (1992-2012)    

           ทั้งนี้ การจัดประชุม Summit ครั้งต่อไป (13th ECO Summit Meeting) จะมีขึ้นที่ประเทศปากีสถาน  ขณะที่การจัดประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งต่อไป (21st Council of Ministers Meeting) จะมีขึ้นที่กรุงดูชานเบ ประเทศทาจิกิสถาน 
การดำเนินงานของ ECO 

            กิจกรรมของ ECO ดำเนินการผ่านคณะกรรมการภายใต้การกำกับดูแลของเลขาธิการ ECO โดยแบ่งสาขาความร่วมมือออกเป็น 7 สาขา คือ 

           1. การค้าและการลงทุน  โดยเน้นสร้างความตกลงการค้า  (Trade Agreement) การอำนวยความสะดวกและลดกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพิธีศุลกากร (Customs Matters)  การปกป้องการลงทุนและอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราเพื่อกระตุ้นการลงทุน  รวมไปถึงการเสริมศักยภาพของสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุน  อาทิ การรื้อฟื้น ECO Chamber of Commerce and Industry  การก่อตั้ง Trade Promotion Organizations (TPOs) เป็นต้น 

           2. การขนส่ง การสื่อสารและโทรคมนาคม
  ปฏิบัติตามกรอบ Transit Trade Framework Agreement  พัฒนาการขนส่งทางถนน และทางรางระหว่างประเทศสมาชิก  การออกตรวจลงตราสำหรับพนักงานขับรถขนส่ง (Drivers and Crews) รวมไปถึงการวางระบบอินเตอร์เน็ตออนไลน์ (Online System)  และจัดตั้งจุดบริการธนาณัติ (financial postal services) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศสมาชิก 
           3. กิจการพลังงาน แร่ธาตุ และสิ่งแวดล้อม 
 โดยบรรลุแผนแม่บท The New Plan of Action on Energy/Petroleum Cooperation in the ECO Region (2011-2015) ในการประชุมระดับรัฐมนตรี ECO Ministerial Meeting on Energy/Petroleum ครั้งที่ 2 ที่กรุงดูชานเบ้ เมื่อปี 2010 เพื่อเป็นกรอบการทำงานร่วมกันในด้านพลังงาน  ปิโตรเลียม     ในด้านสิ่งแวดล้อม ECO บรรลุแผนแม่บท The Plan of Action on Environmental Cooperation and Global Warming (2011-2015) ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรี ECO Ministerial Meeting on Environment ครั้งที่ 4 ที่กรุงเตหะราน เมื่อปี 2011  รวมถึงก่อตั้งสถาบันด้านสิ่งแวดล้อม (The ECO Institute of Environmental Sciences and Technology: ECO-IEST) ในปี 2011 เพื่อดูแลกิจการด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศสมาชิก 

           4. การเกษตรกรรม  อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว โดยเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) โดยประสานงานกับองค์การ FAO แห่งสหประชาชาติ  การจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตร  การส่งเสริมภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)  นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงการตั้งมาตรฐานร่วมกัน  การส่งเสริมการท่องเที่ยว  ความร่วมมือด้านเยาวชน  และการบริหารจัดการกับภัยธรรมชาติ  เป็นต้น 

           5.  กิจการด้านทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ  เสริมสร้างความร่วมมือด้านยา (Pharmaceutical)  ความร่วมมือด้านการบรรเทาทุกข์  กาชาด  และยกระดับความปลอดภัยด้านสุขอนามัย  ตามเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDG)  และการจัดการกับปัญหายาเสพติด 

           6. โครงการวิจัยและการเก็บข้อมูลสถิติทางเศรษฐกิจ เพื่อเร่งสร้างบุคลากร และหน่วยงานที่มีศักยภาพด้านการวิจัยและงานสถิติทางเศรษฐกิจ  และสร้าง ECO Statistical Network (ECOSTAT) รองรับฐานข้อมูลเศรษฐกิจร่วมกัน  ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการวางทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาค  

           7.  กิจการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  โดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ อาทิ  WTO  OIC  Islam Development Bank รวมไปถึงประเทศนอกกลุ่ม ECO (non-ECO States)  ปัจจุบัน ECO มีบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับองค์การระหว่างประเทศและคู่เจรจา มากกว่า 30 ฉบับ  และปรับปรุง  A comprehensive Plan of Action ที่กำหนดแนวทางขยายความร่วมมือเชิงลึกระหว่าง ECO กับต่างประเทศ 

          นอกจากนี้  ECO ยังดำเนินงานฟื้นฟูประเทศอัฟกานิสถาน (Reconstruction of Afghanistan) โดยจัดตั้งกองทุนพิเศษ Special Fund for Reconstruction of Afghanistan มีวงเงินกว่า 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  
และลงนาม Protocol กับ Turkish International Cooperation and Development Agency (TIKA) ของตุรกี ในปี 2010 เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดทำโครงการฟื้นฟูอัฟกานิสถานระหว่าง ECO กับตุรกี 

บทบาทของไทยต่อ ECO
 

           ประเทศไทยและองค์การ ECO ยังไม่มีความร่วมมือโดยตรง แต่มีความร่วมมือในกรอบ ECO-ASEAN โดยเริ่มปรากฏความเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันตั้งแต่ครั้งการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ ECO-ASEAN ครั้งที่ 1 (The 1st ASEAN-ECO Foreign Ministers Meeting) เมื่อ 28 กันยายน 1995 ที่นครนิวยอร์ก  โดยแสวงหาความร่วมมือระหว่างองค์การระหว่างประเทศทั้งสองในด้านการค้า การลงทุน  การขนส่งและโทรคมนาคม  กิจการพลังงาน  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  และการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด  และได้มีการประชุมกรอบ ECO-ASEAN มาโดยตลอด 

           ทั้งนี้ ASEAN และ ECO ได้ขยายกรอบความร่วมมือให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยในการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 10 และ 11  เห็นพ้องขยายลู่ทางความร่วมมือในด้านการค้า การลงทุน  การท่องเที่ยว  การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมไปถึงการพิจารณาลู่ทางพัฒนา Inter-regional Connectivity 

           โดยล่าสุด กรอบความร่วมมือ ECO-ASEAN ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 12  (The 12th ASEAN-ECO Joint Ministerial Meeting) ในระหว่างวันที่ 24-29 กันยายน 2012 ที่นครนิวยอร์ก  โดยมีเลขาธิการของ ASEAN และ ECO เข้าร่วม  เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองภูมิภาค ให้มีความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศสมาชิกและมีกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบของหุ้นส่วน ECO-ASEAN partnership มากยิ่งขึ้น 

สัปดาห์ที่16

องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ            การจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศอาจจำแนกออกเป็นสองระดับหลัก  คือองค์การระหว่างประเทศระดับโลก  และระดับภูมิภาค  ซึ่งทั้งสองระดับล้วนเป็นองค์การเพื่อประสานประโยชนืร่วมกันระหว่างประเทศปัจจุบัน  ดังนี้
 1.องค์การสหประชาชาติ(The United Nations:UN)สถาปนาอย่างเป็นทางการ  เมื่อวันที่ 24  ตุลาคม พ.ศ. 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง  มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกา  มีประเทศเอกราชทุกภูมิภาคเป็นสมาชิกไม่ต่ำกว่า  190 ประเทศในปัจจุบัน  
1.1  เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
1.2  เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างประชาชาติ โดยยึดการเคารพต่อหลักการแห่งสิทธิอันเท่าเทียมกัน
1.3  เพื่อให้บรรลุถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ  ในอันที่จะแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศทางด้าน  เศษฐกิจ  สังคม และมนุษยธรรมและการส่งเสริมสนับสนุนการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นมูลฐานสำหรับทุกคน โดยไม่เลือกปฎิบัติในเรื่องเชื้อชาติ    ศาสนา  เพศ  หรือภาษา
1.4  เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานงานของประชาชาติทั้งหลายให้กลมกลืนกัน  ในอันที่จะบรรลุจุดหมานปลายทางร่วมกัน 
 เช่น   การรักษาสันติภาพ  ส่งเสริมประชาธิปไตย  ส่งเสริมด้านมนุษย์ชน  พัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระดับโลก  ให้ความคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญา  เป็นต้น
2.สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Association  of  Southeast  Asian  Nation:  ASEAN)หรืออาเซียน
ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2510  โดยมีสมาชิกเริ่มแรก  5 ประเทศ  คือ   ไทย อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  และสิงคโปร์   ในปัจุบันได้สมาชิกเพิ่มได้แก่  บรูไน เวียดนาม  ลาว  และกัมพูชา
โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเร่งรัดความเจริญเติบโตทางเศษฐกิจ  ความก้าวหน้าทางสังคม  วัฒนธรรมของภูมิภาค   ส่งเสริมสันติภาพ  และเสถียรภาพของภูมิภาคตามหลักของสหประชาชาติ  ส่งเสริม  ร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องผลประโยชน์ทาเศษฐกิจ  สังคม  วัฒนธรรม วิชาการ  การบริหารอย่างจริงจัง
3.เขตการค้าเสรีอาเซียน(Asean  free  trade  area: AFTA)
เขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟตา เป็นการร่วมมือทางเศษฐกิจที่ทำให้การค้าขายในกลุ่มอาเซียนขยายตัว เป็นความคิดริเริ่มที่มาจากอดีตนายกรัฐมนตรีไทย   คือ นายอานันท์ ปันยาชุน    ที่เสนอต่อที่ประชุมอาเซียน  ณ  ประเทศสิงคโปร์    
โดยมีวัตถุประสงค์  เพื่อให้การค้าภายในอาเซียนเป็นไปโดยเร็ว  อัตรภาษีต่ำที่สุด และเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติสู่ภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าโลกที่เป็นระบบเสรียิ่งขึ้น  ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเศษฐกิจของไทยอย่างจริงจัง ระบบการค้าเสรี  เป็นลักษณะทวิภาคี  ระหว่างประเทศไทยกับประเทศในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ออสเตรเลีย  และนิวซีแลนด์เป็นต้น
4.ความร่วมมือทางเศษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือเอเปก(Asia-pacific economic cooperation:APEC)
ก่อตั้งใน  พ.ศ. 2532 ตามข้อเสนอของนายบ็อบฮอร์ก  อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศออสเตรเลีย โดยกลุ่มเอเปกเป็นกลุ่มเศษฐกิจที่มีประชากรรวมกันมากที่สุดกว่า 2,000  ล้านคน ครอลคลุม สามทวีป  คือ  เอเชีย อเมริกา และออสเตรเลีย มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ประเทศ
สิงคโปร   มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและของโลก  โดยต้องการพัฒนาส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีที่อยู่บนรากฐานของการเปิดการค้าเสรี  การลงทุน และหาทางลดอุปสรรคทางการค้า  โดยยึดหลักผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งไทยเคยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมในปี พ.ศ.  2546 
 

สัปดาห์ที่15

 
ความขัดแย้งระหว่างประเทศครั้งสำคัญในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น
 
สงคราม เย็นหมายถึง การประจันหน้าด้านอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้นำลัทธิเสรีประชาธิปไตยกับสหภาพโซเวียตประเทศ ผู้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นการปะทะกันทุก ๆ วิถีทาง ยกเว้นด้านการทหาร การขยายอำนาจในสงครามเย็นจึงเป็นลักษณะการแสวงหาพรรคพวกร่วมอุดมการณ์และ แข่งขันกันเป็นมหาอำนาจทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจ โดยไม่ทำสงครามกันอย่างเปิดเผย แต่เป็นการสนับสนุนให้ประเทศที่เป็นพวกของแต่ละฝ่ายทำสงครามตัวแทน 

สาเหตุของสงครามเย็น 

สหรัฐ อเมริกาได้ประกาศวาทะทรูแมน (Trueman Doctrine)ในค.ศ 1947 มีสาระสำคัญว่า ...สหรัฐอเมริกาจะโต้ตอบการคุกคามของประเทศคอมมิวนิสต์ทุกรูปแบบและทุกสถาน ที่ แล้วแต่สหรัฐจะเห็นสมควร โดยไม่จำกัด ขนาด เวลา และสถานที่ ....จะให้ความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่กรีซและตุรกีเป็นตัวอย่าง สืบเนื่องมาจากสหภาพโซเวียตเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และแทรกแซงให้ความช่วยเหลือกบฎในตุรกีและกรีกเพื่อจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ การประกาศวาทะทรูแมนจึงเป็นจุดเริ่มต้นสงครามเย็นที่แท้จริง ต่อมาสหรัฐได้ประกาศแผนการมาร์แชล(Marshall Plan) เพื่อให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจกับยุโรปตะวันตก

ขณะเดียวกันสหภาพ โซเวียตได้ตอบโต้ด้วยการจัดตั้ง องค์การโคมินฟอร์ม ( Cominform ) ใน ค.ศ. 1947 เพื่อขยายลัทธิคอมมิวนิสต์สู่ประเทศต่าง ๆ และสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก ต่อมาได้ซึ่งพัฒนามาเป็นองค์การ โคมินเทอร์น (Comintern)

การเผชิญหน้าทางทหาร ใน ค.ศ. 1949 สหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization ) ประกอบด้วยภาคี 12 ประเทศ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักซัมเบอร์ก สหรัฐอเมริกา แคนาดา เดนมาร์ค ไอซ์แลนด์ อิตาลี นอร์เวย์และเปอร์ตุเกส ต่อมาตุรกีและกรีซ ได้เข้าเป็นสมาชิก และในค.ศ. 1955 เยอรมนีตะวันตกได้เข้าเป็นสมาชิกด้วย

ใน ค.ศ.1955 สหภาพโซเวียตได้ชักชวนให้ประเทศในยุโรปตะวันออกลงนามในสนธิสัญญาวอร์ซอร์ ( Warsaw Pact)ซึ่งเป็นสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร ประเทศภาคี คือ สหภาพโซเวียต เยอรมนีตะวันออก โปแลนด์ ฮังการี รูมาเนีย บัลกาเรียและเชคโกสโลวาเกีย
วิกฤตการณ์เบอร์ลิน(The Berlin Blockade) ค.ศ.1948 

เบอร์ลิน ถูกแบ่งเป็น 4 ส่วนแบ่งเขตยึดครองคือ ฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ได้ส่วนยึดครองทางเบอร์ลินตะวันตกและเยอรมนีตะวันตก สหภาพโซเวียตได้เบอร์ลินส่วนตะวันตกและเยอรมนีตะวันตก เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองสหภาพโซเวียตได้ประกาศปิดล้อมเบอร์ลินไม่ ให้สัมพันธมิตรเข้าออกเบอร์ลินในวันที่ 19 มิถุนายน 1948 ถึง พฤษภาคม 1949 มิให้มีการติดต่อกับภายนอก เพื่อบังคับให้มหาอำนาจตะวันตกละทิ้งเบอร์ลิน โดยปิดเส้นทางคมนาคมทางบก ทางน้ำ ตัดกระแสไฟฟ้าประเทศสัมพันธมิตรและคณะมนตรีความมั่นคงแก้ปัญหาโดยการใช้ เครื่องบินบรรทุกเครื่องอุปโภคบริโภคไปโปรยให้ชาวเบอร์ลินตะวันตกเป็นเวลา กว่า 1 ปี เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การแบ่งแยก เยอรมันนีเป็น 2 ประเทศและแบ่งเบอร์ลินเป็น 2 ส่วนอย่างถาวร

การแบ่งเขตยึดครองเบอร์ลินของของมหาอำนาจ 4 ประเทศ สร้างกำแพงยาวกว่า 27 ไมล์
กั้นระหว่างเบอร์ลินในค.ศ.1961 เรียกกำแพงเบอร์ลิน
ใน ค.ศ.1949 เยอรมนีตะวันตกได้ตั้งเป็นประเทศ ชื่อว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันและสหภาพโซเวียตได้ตั้งเขตปกครองของตนในเยอรมนี ตะวันออกเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน เมื่อแบ่งประเทศแล้ว ชาวเยอรมนีตะวันออกได้อพยพมาอยู่ในเขตตะวันตกมากขึ้นตลอดเวลา ทำให้รัสเซียต้อง สร้างกำแพงยาวกว่า 27 ไมล์ กั้นระหว่างเบอร์ลินใน ค.ศ.1961 เรียก กำแพงเบอร์ลิน

เครื่องบินสัมพันธมิตรขนส่งอาหารให้กับประชาชนในเบอร์ลินตะวันตก

กำแพงเบอร์ลิน
กำแพง เบอร์ลินสร้างในปี ค.ศ. 1961 แบ่งเบอร์ลินตะวันตกและตะวันออก ออกจากกัน เป็นสัญลักษณ์สำคัญหนึ่งของสงครามเย็น และถูกทำลายไปเมื่อ ค.ศ. 1989 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1990 โดยมิคาอิล กอบาชอฟ ยินยอมให้เยอรมันทั้งสองตัดสินใจอนาคตตนเอง โดยสหภาพโซเวียตจะไม่เข้าแทรกแซงจึงมีการรวมเยอรมันเป็นประเทศเดียวกันอย่าง เป็นทางการ เรียกว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรม

สัปดาห์ที่14

 
 
ความขัดแย้งระหว่างประเทศครั้งสำคัญในช่วงคริสต์ศตวรรษที่  20 เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่  2
 
สาเหตุสงครามโลกครั้งที่ 1 การขยายตัวของลัทธิชาตินิยม การขยายลัทธิจักรวรรดินิยม การพัฒนาระบบพันธมิตรของประเทศยุโรปและการเติบโตของลัทธิทหารนิยม เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
การขยายตัวของลัทธิชาตินิยม ลัทธิชาตินิยมในยุโรปขยายตัวอย่างรวดเร็วในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในแหลมบอลข่านที่ต้องการปกครองตนเองและเป็นอิสระจากอำนาจของจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ประเทศที่ส่งเสริมกลุ่มชาตินิยมในแหลมบอลข่าน คือ เซอร์เบีย (Serbia)
การขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยม การแข่งขันขยายลัทธิจักรวรรดินิยมของมหาอำนาจยุโรปในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศเหล่านั้นจนทำให้มีการแบ่งขั้วอำนาจที่ปรากฏในระบบพันธมิตรของยุโรป
ระบบพันธมิตรของยุโรป ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปรัสเซีย (Prussia) ได้พัฒนาเป็นจักรวรรดิเยอรมนีและผนึกกำลังชาติพันธมิตรเพื่อโดดเดี่ยวฝรั่งเศสซึ่งเป็นศัตรูและคู่แข่งสำคัญในการขยายลัทธิจักรวรรดินิยม ต่อมาได้เกิดระบบพันธมิตรของยุโรป คือกลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Alliance) หรือกลุ่มมหาอำนาจกลาง ประกอบด้วย เยอรมณีและออสเตรีย – ฮังการี และกลุ่มไตรภาคี (Triple Entente) หรือฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย การแบ่งขั้วอำนาจในยุโรปทำให้แต่ละประเทศกล้าเผชิญหน้ากันเพราะต่างก็มีพันธมิตรหนุนหลัง
556
การเติบโตของลัทธิทหารนิยม ผู้นำประเทศในยุโรปต่างเชื่อว่าการสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่จะต้องใช้กำลังทหารสนับสนุนและทำสงครามขยายอำนาจ เช่น ปรัสเซียใช้วิธีการทำสงครามเพื่อขยายดินแดนฝรั่งเศส และเดนมาร์ก ส่วนอิตาลีก็ใช้กำลังสงครามรุกรานอบิสซิเนีย ดังนั้นรัฐบาลต่างๆ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ อนึ่ง ความเข้มแข็งทางการทหารและการสนับสนุนจากกองทัพได้ทำให้ประเทศเหล่านั้นยินดีเข้าสู่สงคราม

ชนวนสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ 1914 กลุ่มชาตินิยมชาวเซิร์บ (Serb) ซึ่งต้องการปลดแอกจากจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการีได้ลอบสังหารมกุฎราชกุมารฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Archduke Franz Ferdinand) แห่งออสเตรีย ขณะเสด็จเยือนประเทศเซอร์เบีย ออสเตรีย – ฮังการียื่นคำขาดให้เซอร์เบียรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เซอร์เบียไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ อีกไม่กี่วันต่อมา ออสเตรีย – ฮังการีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนีจึงประกาศสงครามต่อเซอร์เบีย รัสเซียได้เข้าช่วยเซอร์รบ อังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็นพันธมิตรของรัสเซียจึงเข้าร่วมรบด้วยเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร ในปีต่อมาอิตาลีก็เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร แม้จะเคยร่วมกลุ่มไตรพันธมิตรกับออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมนีมาก่อนก็ตาม ส่วนฝ่ายมหาอำนาจกลางก็มีจักรวรรดิออตโตมันเข้าร่วมกับออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมนี ทำให้สงครามขยายไปทั่วยุโรป เอเชียและแปซิฟิก ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 เกิดปฏิวัติในประเทศรัสเซีย และมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบโซเวียตภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม อย่างไรก็ตามสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ขยายวงออกไปอีก เพราะอีก 2 เดือนต่อมาสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วใกับฝ่ายพันธมิตร สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงในปลาย ค.ศ. 1918 โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ
586
ผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ด้านการเมือง สงครามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในยุโรป เพราะทำให้จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลาย มีประเทศเกิดใหม่ในยุโรปตะวันออก แถบทะเลบอลติกและแหลมบอลข่าน เช่น ฮังการี เชคโกสโลวาเกีย โรมาเนีย บุลแกเรีย ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ฯลฯ พร้อมกันนั้นยังมีความพยายามก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations) เพื่อป้องกันสงครามและรักษาสันติภาพด้วย
ด้านเศรษฐกิจ สงครามทำให้ประเทศต่างๆ ประสบหายนะทางเศรษฐกิจ และจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรีบด่วน โดยเฉพาะการผลิตสินค้าส่งออก แต่เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ขาดกำลังซื้อ จึงทำให้สินค้าขายไม่ออกและส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำที่ลุกลามไปทั่วโลก
ด้านสังคม สงครามทำให้ผู้คนเสียชีวิตและพิการมากกว่า 8 ล้านคน ประเทศต่างๆ ต้องเร่งฟื้นฟูสังคม นอกจากนี้ยังทำให้ลัทธิชาตินิยมขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่เป็นผู้แพ้สงคราม เช่น เยอรมนีซึ่งต่อมาได้ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อแก้แค้นฝ่ายสัมพันธมิตร
สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945)
สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผลกระทบที่สืบเนื่่องจากสงครมโลกครั้งที่ 1 โดยเยอรมนีเป็นผู้เริ่มสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ขยายสนามรบออกไปนอกยุโรปคือ แอฟริกา เอเชียและแปซิฟิก เป็นสงครามที่มีการประหัตประหารและทำลายล้างกันรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีส่งกองทัพบุกโปแลนด์ ดังนั้นอังกฤษและฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามต่อเยอรมนี นับเป็นการเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประกอบด้วยฝ่ายพันธมิตร (Allied Nations) ซึ่งมีอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำ และฝ่ายอักษะ (Axis ซึ่งมีเยอรมนีและอิตาลีเป็นแกนนำ ต่อมาญี่ปุ่นได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะและเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพาด้วยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล (Pearl Harbor) และยึดครองเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ทำให้สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นและเข้าร่วมสงครามกกับฝ่ายพันธมิตร สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 โดยฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะ
564

สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 สามารถวิเคราห์ได้จากทั้งฝ่ายอักษะและฝ่ายพันธมิตร ดังนี้
ฝ่ายอักษะ ลัทธิจักรวรรดินิยมผสมผสานกับลัทธิชาตินิยมเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งเสริมให้เยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่นทำสงครามขยายอำนาจครอบครองดินแดนโพ้นทะเลและทรัพยากรอันมั่งคั่ง อนึ่ง การที่ประเทศเหล่านี้มีแนวทางที่คล้ายคลึงกันคือ ต่างสนับสนุนลัทธิจทหารนิยมและการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ก็ทำให้สามารถรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกัน รวมทั้งมีความมั่นใจในการก่อสงคราม
ฝ่ายพันธมิตร ปลายทศวรรษ 1930 เยอรมนีขยายอำนาจคุกคามดินแดนใกล้เคียง เช่น การผนวกแคว้นสุเดเตน (Sudeten) ของเชคโกสโลวาเกีย แต่ฝ่ายพันธมิตรกลับดำเนิน “นโยบายเอาใจ” (Appeasement Policy) โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน เนื่องจากยังไม่ต้องการทำสงครามกับเยอรมนี จึงทำให้เยอรมนีได้ใจและบุกโปแลนด์ต่อไป จนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
ผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 ขยายพื้นที่สงครามครอบคลุมทวีป ทำให้เกิผลกระทบมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ทุกด้าน
ด้านการเมือง สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของโลกที่สำคัญคือ ดินแดนอาณานิคมได้รับเอกราช มีประเทศเกิดใหม่ในเอเชียและแอฟริกาจำนวนมาก อำนาจของยุโรปเสื่อมลงจึงต้องผนึกกำลังเป็นสหภาพยุโรป (European Union) ในปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาซึ่งช่วยกอบกู้สถานการณ์สงครามและนำชัยชนะให้กับฝ่ายพันธมิตรได้ขึ้นมาเป็นผู้นำโลก สหรัฐอเมริกาเข้าไปจัดระเบียบโลก และสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการนำประชาคมโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อชะตากรรมของมนุษยชาติในโลกปัจจุบัน
ด้านเศรษฐกิจ ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มีมูลค่าที่ไม่อาจประเมินได้ ประเทศส่วนใหญ่ซึ่งรวมทั้งประเทศในยุโรปต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจนานนับ 10 ปีจึงฟื้นตัวได้ ทำให้มีการก่อตั้งองค์การทางการเงินระหว่างประเทศเพื่อช่วยบูรณะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เช่น ธนาคารโลก และ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (International MonetaryFund = IMF)
ด้านสังคม สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำลายล้างชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล มีผู้บาดเจ็บล้มตายในสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่า 20 ล้านคน ทั้งยังทำให้เกิดการพลัดพรากในครอบครัว อนึ่ง สงครามโลกครั้งที่นี้ยังส่งผลกระทบต่อจริยธรรมและศีลธรรมของผู้คนในสังคมอย่างมาก เนื่องจากการมีการประหัตประหารกันอย่างโหดร้ายทารุณ และการใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงต่อมนุษยชาติ เช่น การที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูญี่ปุ่นที่เมืองฮิโรชิมา (Hiroshima) วันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และที่เมืองนางาซากิ (Nagasaki) ในอีก 3 วันต่อมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีมากกว่า 1 แสนคน055
สภาพเมืองฮิโรชิมา หลังจากสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณู
056
 
 
อนุภาคของระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น
สงครามเย็น
สงครามเย็น (Cold War) เป็นศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หมายถึง ภาวะตึงเครียดระหว่างกลุ่มประเทศ 2 กลุ่ม ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ใช้วิธีการต่างๆ ในการต่อสู้ ยกเว้นการเผชิญหน้า จึงหวั่นเกรงกันว่าความตึงเครียดในสงครามเย็นอาจจะนำไปสู่ภาวะสงครามร้อนได้ และกลายเป็นสงครามโลกอีกครั้งหนึ่ง
ความขัดแย้งในสงครามเย็นปรากฏเด่นชัดใน ค.ศ. 1947 เมื่อประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน (Harry S. Truman) แห่งสหรัฐอเมริกาประกาศหลักการทรูแมน (Truman Doctrine) ซึ่งเป็นการประกาศต่อต้านการแทรกแซงใดๆ ต่อรัฐบาลที่ชอบธรรมในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก กรีซ ตุรกีและอิหร่านซึ่งกำลังเกิดความวุ่นวายภายในประเทศ เนื่องจากกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์ทำการจลาจลต่อต้านรัฐบาลของตน

058

สาเหตุของสงครามเย็น สงครามเย็นมีรากฐานมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศเสรีนิยมที่นำโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปตะวันตกกับสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีตและขยายเป็นสงครามเย็นในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ เติบโตและส่งผลให้โลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรีกับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
วิกฤตการ์ณในสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดวิกฤตต่างๆ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งและการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายโลกเสรีกับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งสร้างความตึงเครียดและหวาดวิตกต่อประชาคมโลก ด้วยเกรงว่าเหตุวิกฤตนั้นจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ วิกฤตในสงครามเย็นที่สำคัญ เช่น
การปิดล้อมกรุงเบอร์ลิน ค.ศ. 1948 – 1949 เป็นการปิดล้อมเบอร์ลินตะวันตกโดยฝ่ายเยอรมนีตะวันออกเพื่อกดดันเยอรมนีตะวันตก
การจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือองค์การนาโต (North Atlantic Treaty Organization = NATO) ค.ศ. 1949 เป็นการรวมกลุ่มทางทหารนำโดยสหรัฐอเมริกาและกลุ่มพันธมิตรในเขตมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
106230969
สงครามเกาหลี ค.ศ. 1950 – 1953 เป็นสงครามระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาและกำลังอาสาสมัครของประเทศสมาชิกสหประชาติเข้าไปช่วยทำสงครามในเกาหลีใต้
korea15การรวมกลุ่มกติกาสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) ค.ศ. 1955 เป็นการรวมกลุ่มทางทหารระหว่างสหภาพโซเวียตและประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกเพื่อตอบโต้องค์การนาโต
สงครามเวียดนาม ค.ศ. 1960 – 1975 เป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ที่สหรัฐอเมริกาส่งทหารเข้าไปรบกับพวกคอมมิวนิสต์เวียดนามซึ่งยึดเวียดนามเหนือ
105244วิกฤตการณ์ขีปนาวุธที่คิวบา ค.ศ. 1962 เป็นเหตุการณ์ที่สหภาพโซเวียตพยายามนำขีปนาวุธไปติดตั้งที่คิวบาซึ่งเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในลาตินอเมริกา สหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นการคุกคามต่อสหรัฐอเมริกาและทวีปอเมริกาโดยตรง จึงประกาศจะตอบโต้อย่างรุนแรง โซเวียตจึงยินยอมถอนขีปนาวุธกลับไป เพราะไม่ต้องการทำสงครามนิวเคลียร์กับสหรัฐอเมริกา
การผ่อนคลายและการสิ้นสุดขอสงครามเย็น การผ่อนคลายของสงครามเย็น (Detente) เริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เมื่อกลุ่มประเทศประชาธิปไตยและสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เริ่มหันหน้าเข้าหากัน เพื่อผ่อนคลายภาวะตึงเครียดของสงครามเย็นเนื่องจากต่างตระหนักว่า ไม่อาจปล่อยให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจรุนแรงเพิ่มมากขึ้นต่อไป เพราะจะนำไปสู่จุดแตกหักที่ส่งผลต่อสันติภาพของโลกได้ เหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การผ่อนคลายและการสิ้นสุดของสงครามเย็นได้แก่
การปรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากีบจีนคอมมิวนิสต์ ค.ศ. 1972 โดยประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ของสหรัฐอเมริกา เดินทางไปเยือนปักกิ่ง ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาค่อยๆ ถอนทหารออกจากเวียดนาม และทำให้สงครามเวียดนามยุติลง
53ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐอเมริกาเดินทางไปเยือน
และเข้าพบ เหมา เจ๋อตง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ค.ศ. 1972
การประชุมสุดยอดเบรซเนฟ – นิกสัน (Brezhnev’ – Nixon Summit 1972) ระหว่างนายกรัฐมนตรีเบรซเนฟของสหภาพโซเวียตและประธานาธิบดีนิกสันส่งผลให้มีการลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ 2 ครั้ง (Strategic Arms Limitation Talks = SALT) ใน ค.ศ. 1972 และค.ศ. 1979
นโยบายเปเรสทอยกาและกลาสนอส (Perestoika – Glasnos ค.ศ. 1985) เริ่มในสมัยของนายกรัฐมนตรีกอร์บาชอพ (Gorbachev) แห่งสหภาพโซเวียต ซึ่งประกาศปฏิรูปประเทศตามแนวทางประชาธิปไตยและเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ เป็นผลให้มีการผ่อนคลายความเข้มงวดของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์โซเวียต ทำให้ประเทศในยุโรปตะวันออกมีอิสระในการกำหนดระบอบปกครองของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เลือกวิถีทางเสรีประชาธิปไตย
การทำลายกำแพงเบอร์ลินและการรวมเยอรมนี ค.ศ. 1989 เยอรมนีตะวันตกและเยอรมนีตะวันออกได้รวมประเทศทำให้การเผชิญหน้าอันยาวนานระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออกยุติลง
ระบอบสหภาพโซเวียตล่มสลาย ค.ศ. 1991 ถือว่าเป็นการยุติสงครามเย็นที่ยาวนานและตึงเครียดหลังจากนั้นรัฐต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้ระบอบสหภาพโซเวียตก็แยกเป็นรัฐอิสระ ส่วนศูนย์ฏกางการปกครองสหภาพโซเวียตเดิมก็คือประเทศรัสเซียในปัจจุบัน
เหตุการณ์ความขัดแย้งของมนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่กล่าวมาข้างต้น มีความรุนแรงก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลต่อประชาคมโลก ทั้งยังมีผลกระทบสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่ควรแก่การศึกษาและเผยแพร่เพื่อให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงผลที่เกิดขึ้นต่อสังคมและมนุษยชาติในปัจจุบัน